วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Mobile Computing

เนื้อหาสาระมีทั้งสิ้น 4 ส่วนด้วยกัน ได้แก่
1. Wireless WAN (Cellular Natwork) ระบบเครือข่ายไร้สายxxxx
2.Wireless MAN เครือข่ายไร้สาย ระหว่างประเทศ และระดับ ทวีป xxxx
3. Wireless LAN (Wi-Fi) ระบบเครือข่ายไร้สายในระยะ 100 ม,
4. Wireless PAN ระบบเครือข่ายไร้สายส่วนบุคคล ในระยะ 2-3 ฟุต

ที่มาของการเรียนเรื่อง Mobile Computing เนื่องจาก การเข้ามามีบทบาทของ Mobile มากยิ่งขึ้น โดยมองว่า อนาคตของธุรกิจ IT มี ทิศทาง บริษัททั้งบริษัท อาร์ดแวร์ และบริษัทซอฟแวร์ เช่น Apple Google ต่างเข้ามาทำตลา Mobile กันมากยิ่งขึ้น เช่น การเข้ามาของ iPad และตลาด Mobile จะยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และโทรศัพท์ก็กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน
Wireless WAN
-พัฒนาการของ สมาร์ทโฟน เกิดมาจาก ปาล์ม หรือ PDA ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่าง โทรศัพท์กับออร์แกไนเซอร์
Mobile Computing
คือ รูปแบบของการใช้คอมพิวเตอร์ ขณะที่มีการเคลื่อนไหว เป็นเรื่องที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปี เช่น Laptop เครื่องแรกมีมากว่า 50 ปีแล้ว คือในปี 1968
- PDA เครื่องแรกออกมาใน ปี 1983
สาเหตุที่ไม่เป็นที่นิยม เพราะ
1.ออกสู่ตลาดในระยะเวลาที่ไม่เหมาะสม
2. Software ยังไม่ Support

ยุคของโทรศัทเคบื่อนที่แบ่งได้ 4 ยุค
1. ยุค 1G
-โทรศัพท์ยังเป็นเครื่องมีขนาดใหญ่ หนัก จะใช้ต้อง ยกหาคลื่น
- เป็นสัญญาน อนาลอค ทำได้แต่ เสียง
- นำมาใช้ตั้งแต่ปี 1980 ใช้อย่างต่อเนื่อง จนถึงต้น ปี 1990
- ราคาเครื่องโทรศัพท์แพง และค่าโทร อัตราแพง
- ไม่สามารถใช้สำหรับการรับและส่งข้อมูลได้
2. ยุค 2G
- พัฒนาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 และเริ่มนำมาใช้ ต้นปี 1990
- เป็นสัญญาณ Digital ซึ่งรับส่งข้อมูลได้
- เป็นที่มาของการเกิด SMS (Short Message Service) รับส่งข้อมูลได้ไม่เกิน 160 ตัวอักษร
ซึ่งการเกิดของระบบ Digital ทำให้มี 2 มาตรฐาน คือ
1.GSM (Global System for Mobile Communication) ซึ่งเป็นเครื่อข่ายที่ AIS ให้บริการ
ข้อดี
จำนวน 2 ใน 3 ของประเทศในโลก ใช้ระบบนี้ โดยเฉพาะในแถบเอเชีย เด่นเรื่องการทำ Roamming ผู้ใช้เคลื่อนย้ายโครงข่ายได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ เพราะเป็นการใช้ระบบ SIM
2. CDMA (Code Division Multiple Access) บริษัทผู้คิดค้น อยู๋ในประเทศ สหรัฐอเมริกา มีการใช้ในทหารมาก่อน
ข้อดี
คุณภาพของสัญญาณดีกว่า ทั้งเสียงและข้อมูล
เป็นเทคโดนโลยีที่พัฒนาไปสู่โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 3
ข้อาเสีย
จำนวนประเทศที่ใช้น้อย เช่น อเมกา ในเอเชีย คือเกาหลีใต้
ข้อจำกัด
ไม่มีควมสมารถทำ Roamming ผู้ใช้ใช้หมายเลจเดิมข้ามโครงข่ายไม่ได้

ยุค 2.5
ในกลางปี 1995 มีการนำโทรศัพท์ที่ ใช้เชื่อมต่อ Internet มีการนำเทคโนโลยีของโทรศัพท์ในยุคที่ สามเข้ามาใช้ เช่น GPRS ระบบนี้ ( General Package Radio Service) และมีการพัฒนาต่อเนื่องมาเป็น EDGE เราสามารถใช้โทรศัพท์ในการเชื่อมต่อ Internet โดยมีความเร็วไม่เกิน 384 KB หรือที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน โดยเรา สามารถ เช็ค e-mail , เช็ค Content และใช้ IM ได้จาก EDGE แต่เราไม่สามารถดูทีวีแบบ Real time และการทำ VDO Conference ได้จาก EDGE ข้อจำกัด เรื่องการใช้ Multimedia ที่มีความละเอียดได้ เป็นยุคปัจจุบันของประเทศไทย
ยุค 3G
2001 ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ใช้ โทรศัพท์ 3G ได้ โดย NTT Dokomo
ต่างกับ 2G คือ เรื่องโครงสร้างเครือข่าย 2G ด้าน Service switching network คือต้องมีการสร้างช่องทางก่อนมีการติดต่อสื่อสาร ส่วน 3g โครงสร้างเครือข่ายแบบ Internet แบบ Packet Switching network การรับส่งข้อมูลเป็นแบบ Package จุดเด่น โดยมีความสามารถด้านการเชือมต่อ Internet และ ความเร็วในการเชื่อมต่อ โดยมีความเร็ว 384 กิโลบิต ถึง 2 ล้านกิโลบิต ต่อวินาที ในปัจจุบัน ความเร็วอยู่ที่ 10 เมกกาบิต ต่อวินาที

3G สร้างความแตกต่างด้าน Application ที่สามารถสร้าง Application On top บน 3G ได้ เช่น การสร้าง VDO Conference การดูทีวี การทำธุรกรรม การช็อปปิ้ง เป็นต้น
ในระบบ 3G มี 2 มาตรฐาน ได้แก่
1.WCDMA (Wireland xxxxxx) หรือ UMTS ซึ่งบริษัทที่ใช้ ระบบ GSM ใน 2G จะใช้ระบบนี้
2.CDMA 2000
ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ระบบ 3G ได้เฉพาะบางพื้นที่ เท่านั้น และใช้ได้กับโทรศัพท์บางรุ่น เช่น iPhone
ยุค 4G
-Japan ได้มีการ ใช้ 4G เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ซึ่งถือเป็นประเทศแรกในโลก
-เป็นการพัฒนาต่อจาก 3G โดยเป็นยุคที่โทรศัพท์ เป็นแบบ IP Based คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่จะมี IP Address
- ใช้รูปแบบ IT Packet ในการนำส่ง สัญญาณ
- ความเร็วจะมากถึงระดับ 1 G Bite กิโลบิตต่อวินาที
- เหมาะกับสื่อี่มีความละเอียดสูงมาก เช่น High Definition
- มีการใช้เทคโนโลยี Software Define Radio คือ Software จะเป็นตัวกำหนดว่า Mobile นี้จะใช้เครือข่าย อะไร เช่น ถ้าเข้ามาในเครือข่าย wifi โทรศัพท์ ก็จะใช้เครือข่าย wifi Voice Over IP เหมือน Skype ถ้าอยู่ในเครื่อข่าย WiMax Mobile นี้ จะใช้สัญญาณ WiMax ถ้าอยู่ในเครือข่าย Cellular Network โทรศัพท์จะใช้ ระบบ 4G
LTE (Long Term Evolution ) และ WiMax เป็นมาตรฐานของระบบ 4G
ITU ตั้งเป้าว่า ระบบ 4G จะเริ่มให้บริการทั่วโลกระหว่างปี 2012 – 2015
ระบบการจัดการ และ ผังการบริหารจัดการ ระบบโทรคมนาคมของไทย

การใช้บริการด้าน Mobile Computing Services นั้น เป็นการให้บริการแบบ Non Voice ซึ่งมีทั้ง SMS (Short Message Service) และ EMS (Enhanced Messaging Service) แต่ไม่มีแล้วเนื่องจากปัจจุบัน ถูกแทนที่โดย MMS (Multimedia Messaging Service)
เปรีบเทียบการใช้บริการระหว่างการใช้บริการแบบ Voice และ Non Voice
ปัจจุบันมีการใช้บริการแบบ Voice มากกว่า แต่ในอนาคต จาก ตัวชี้วัดการการสร้างรายได้ ของบริษัทผู้ให้บริการเลขหมาย โดย ARPU (Average Revenue Per Users) จะมีแนวโน้ม ลดลง เนื่องจาก การให้บริการแบบ Voice ที่มากนี้ เกิด Price War ( สงครามราคา) ขึ้นเนื่องจากไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้ แต่การเข้ามาของ 3G เป็นตัวที่จะเข้ามาเปลี่ยน รูปแบบ ให้มีการใช้บริการแบบ Non Voice มากยิ่งขึ้น
Wireless MAN
- WiMax เป็นระบบเครือข่ายไร้สาย ที่ให้สัญญาณในพื้นที่ 50 กม. ซึ่งเหมาะกับการใช้ Internet แบบ นั่งประจำที่มากกว่าการเคลื่อนไหว โดยจะเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่ง กับการกระจายความเจริญสู่ชนบทเนื่องจากมี พื้นที่ครอบคลุมกว้าง ด้วยความเร็ว 75 กิโลบิตต่อวินาที และยังเป็น มาตรฐานในการใช้ในระบบ 4G ด้วย
เคยมีการ ทดลอง ระบบ WiMax ในกรุงเทพ ที่ พารากอน ปรากฎว่า ใช้ได้ในรัศมีเพียง 2 กม. เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่มีตึกสูงล้อมรอบ

WiMax เป็นคลื่นความถี่ที่ต้องได้รับอนุญาตจากการดำเนินงาน โดย คลื่นความถี่ มี 2 แบบ คือ
- คลื่นความถี่ที่ต้องมีใบอนุญาตจาก กทช. ได้แก่ WiMax และ 3G
- คลื่นความถี่ที่ไม่ต้องมีใบอนุญาต เช่น Infrared , You Tube , RFID etc.
ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ที่ผ่านมา มีการหาเสียงว่า จะนำเอาระบบ WiMax มาใช้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ายังไม่มีใบอนุญาต จาก กทช.
Wireless LAN
เป็นระบบสัญญาณไร้สาย ขนาดเล็ก ในระยะพื้นที่ ไม่เกิน 100 ม. เช่น Wi Fi ซึ่ง มี การส่งสัญญาณ Inter ผ่านทาง Access Point มี 4 มาตรฐาน ได้แก่ 802.11b , 802.11a , 802.11g และ 802.11n
Wi –Fi สร้างความยืดหยุ่ยให้องค์กรมาก เนื่องจากการให้บริการครอบคลุม มากกว่า ระบบมีสาย แต่ก็ยังมีปัญหาบ้าง ได้แก่
1. ความสามารถในการทำ Roaming จากการย้ายสถานที่ใหม่ ต้องทำการ log-in ใหม่ ทุกครั้งไป และความเร็ว จะลดลง ถ้าระหว่างการใช้งานมีการเคลื่อนไหว
2. ระบบความปลอดภัย เนื่องจากการไหลของข้อมูล ในระยะ ที่สามารถ รับสัญญาณได้ ทั้งนี้ องค์กรที่ใช้บริการ Wi-Fi ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการใช้ต่ำ
3. ต้นทุน แม้ว่าจะมีต้นทุนที่ต่ำ แต่คิดว่า บางที ควรจะให้บริการ ฟรี หรือไม่
4. การดูดข้อมูล จากเครื่อง Computer และ Mobile โดยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผ่านทางสัญญาณ Wi-Fi ได้ในทันที แม้เทคโนโลยีนี้จะมีราคาสูง แต่สามารถปฎิบัติงานได้ง่าย สะดวก โดยเฉพาะถ้าข้อมูลนั้น เป็นของคู่แข่ง ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น